Article 003 : ปุ่ม O/D ข้างคันเกียร์ ใช้งานอย่างไร

บทความและเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์
รวมถึงเกร็ดความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่น่าสนใจ
Post Reply
User avatar
Po-40
Posts: 50
Joined: Mon Sep 25, 2023 2:18 pm

Article 003 : ปุ่ม O/D ข้างคันเกียร์ ใช้งานอย่างไร

Post by Po-40 »

บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินคำถามเกี่ยวกับ O/D หรือเจ้าปุ่ม Overdrive ว่ามันคืออะไร
แล้วจะใช้งานยังไง เปิดตอนไหน ปิดตอนไหน ในบทความนี้ เราจะมีดูกันว่า
เจ้าปุ่มปัญหานี้มันคืออะไรแล้วจะใช้งานกันอย่างไร

ปุ่ม Overdrive จะเป็นปุ่มที่มีอยู่ในรถที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ ตำแหน่งที่ตั้งของมัน
มักจะอยู่บริเวณคันเกียร์ อาจจะเป็นปุ่มเล็กๆที่อยู่ด้านข้างของหัวเกียร์ใต้ปุ่มปลดล็อคเกียร์
แบบที่นิยมใช้ในรถ Toyota , Nissan , Honda หลายรุ่น


Image


หรืออาจจะอยู่ที่ปลายคันเกียร์แบบเช่นใน Honda CR-V


Image


โดยทั่วไปปุ่ม O/D นี้มักจะมาพร้อมกับส่วนแสดงสถานะการทำงาน ที่อยู่บนหน้าปัดมาตรวัด


Image


หน้าที่ของเจ้าปุ่ม O/D นี้ก็คือ เป็นตัวเลือกว่าจะ ใช้หรือไม่ใช้เกียร์ overdrive
ซึ่งมักจะเป็นเกียร์ตำแหน่งสุดท้ายที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1:1 ซึ่งมีไว้เพื่อลดรอบการทำงานของเครื่องยนต์


===== O/D ON ======
การเลือกที่จะใช้เกียร์ overdrive ด้วย หมายความว่า ถ้าในรถที่มีเกียร์ทั้งหมด 4 เกียร์
การที่เราเลือกสถานะเป็น O/D ON ก็จะมีเกียร์ให้ใช้ครบทั้ง 4 เกียร์ คือ เกียร์ที่ 1-2-3-4
โดยกล่องสมองกลจะเป็นผู้สั่งการ เพื่อเลือกใช้ตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมจากเกียร์ที่มีอยู่ทั้งหมดครบทั้ง 4 เกียร์
ในกรณีนี้จะไม่มีไฟแสดงที่หน้าปัด และตัวปุ่ม O/D จะจมอยู่ไม่ได้โผล่ออกมา

===== O/D OFF ======
แต่หากเราเลือกที่จะไม่ใช้เกียร์ overdrive หมายความว่า ถ้าในรถที่มีเกียร์ทั้งหมด 4 เกียร์
การที่เราเลือกสถานะเป็น O/D OFF ก็จะมีเกียร์ให้ใช้แค่ 3 เกียร์เท่านั้น คือ เกียร์ที่ 1-2-3
โดยกล่องสมองกลจะเป็นผู้สั่งการ เพื่อเลือกใช้ตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมจากสามตำแหน่งแรก โดยไม่มีการเลือกใช้ เกียร์ที่ 4
ในกรณีนี้จะมีไฟแสดงที่หน้าปัดว่า “ O/D OFF ” และตัวปุ่ม O/D จะนูนโผล่ออกมา
และถ้ากดปุ่ม O/D OFF ในขณะที่ขับอยู่ในเกียร์ 4 จะทำให้เกียร์เปลี่ยนลงมาเป็นเกียร์ 3 ทันที


Image






โดยทั่วไปมักจะมีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้วจะใช้งานเจ้าสวิตช์ O/D นี้อย่างไร
จะเปิดหรือปิดไว้ ถึงจะประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อเราทราบข้อมูลอย่างที่อธิบายไว้ข้างต้น
แล้วว่าในตอนเรากดปุ่มเลือกใช้กับไม่ใช้ Overdrive นั้น จะมีความแตกต่างกัน
ในการเลือกใช้เกียร์ของกล่องสมองกลอย่างไร ตอนนี้คงจะพอนึกออกกันบ้างแล้วว่า
ตอนไหนควรเปิด หรือ ตอนไหนควรปิดใช่ไหมครับ :laugh:

มีกรณีตัวอย่างที่เคยเจอมากับตัวเอง
มีครั้งหนึ่งที่ผมไปนั่งรถของคนที่รู้จักกัน ขับไปเรื่อยๆจนถึงความเร็วประมาณ 100 km/h
ก็ชักสงสัยตะหงิดๆว่าเอ...แค่ความเร็วเท่านี้ ทำไมเสียงเหมือนรอบเครื่องสูงจัง จะว่าเพราะเครื่องแค่ 1.3L
จึงต้องใช้รอบสูงก็ไม่น่าใช่ จึงชำเลืองไปดูที่หน้าปัดพบว่ามีสัญลักษณ์ O/D OFF สีส้มปรากฏอยู่
ผมได้สอบถามกับทางเจ้าของรถว่าปกติ "O/D OFF" ไว้ตลอดเลยหรือเปล่า
ซึ่งทางเจ้าของรถก็ได้ตอบมาว่า ปกติจะ O/D OFF ไว้ตลอด เนื่องจากเคยได้ยินคนพูดกันว่า
ปิด O/D ไว้จะทำให้ประหยัดน้ำมัน (รถคันนี้ส่วนใหญ่วิ่งอยู่รอบนอกของตัวเมือง และมักใช้ความเร็วคงที่ประมาณ 90-110 km/h)

Image

ในการเดินทางไกลในถนนสี่เลนที่เรามักจะใช้ความเร็วคงที่เกิน 100 km/h
ถ้าเรา O/D OFF ไว้ เท่ากับว่าเรามีเกียร์ให้ใช้แค่ 3 เกียร์แรก ดังนั้นเมื่อขับด้วยความเร็วสูง
กล่องสมองกลก็จะสั่งการ ไล่เปลี่ยนเกียร์ขึ้นไปถึงเกียร์ 3 แต่ไม่สามารถเปลี่ยนขึ้นไปใช้เกียร์ 4 ได้
ซึ่งในเกียร์ 3 นั้นต้องใช้รอบเครื่องจะสูงกว่าเกียร์ 4 เพื่อให้รถวิ่งได้ความเร็วเท่ากัน
ดังนั้นการเปิดใช้งาน Overdrive (O/D ON) ไว้เพื่อให้เกียร์ 4 ได้มีโอกาสมาทำหน้าที่ลดรอบการทำงานของเครื่องยนต์
จึงประหยัดน้ำมันกว่า

Image

ส่วนการขับขี่ในเมืองนั้นถ้าขับในกทม.รถในที่รถติดมากๆแทบไม่ขยับ
สลับการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่เกินประมาณ 50 km/h ตลอดเส้นทาง
ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเปิดหรือปิดการทำงานของ O/D ก็ไม่มีความแตกต่างเนื่องจาก
ด้วยความเร็วต่ำระดับนั้นมักจะมีการใช้อยู่แค่เกียร์ต้นๆ ไม่มีโอกาสได้ใช้งานเกียร์สุดท้ายซึ่งเป็น OD อยู่แล้ว

สำหรับในกรณีที่เรารอจังหวะเพื่อเร่งแซงรถคันที่อยู่ข้างหน้าที่ความเร็วประมาณ 80-110 km/h
ในรถเกียร์อัตโนมัติที่มีทั้งหมด 4 เกียร์ ตามปกติที่ความเร็วดังกล่าวและเปิดใช้งาน O/D ไว้
กล่องสมองกลของรถน่าสั่งการให้ใช้เกียร์ 4 ซึ่งในตอนที่กดคันเร่งลึกๆเพื่อเร่งแซง(kick down)
กล่องสมองกลก็จะสั่งการเปลี่ยนลงมาใช้เกียร์ 3 เพื่อให้มีแรงในการเร่งแซง
แต่ถ้าเราไม่ต้องการเสียเวลาในการรอให้มีการเปลี่ยนเกียร์ลง อาจจะใช้วิธีกดสวิตช์ ให้ "O/D OFF"
เพื่อให้เกียร์มารออยู่ที่เกียร์ 3 ไว้เลย เมื่อตัดสินใจจะเบนหัวรถออกเพื่อแซงก็จะมีแรงเร่งแซงออกได้ทันที
ไม่ต้องเสียจังหวะรอเปลี่ยนเกียร์ลงก่อน

หรือในกรณีที่ขับรถอยู่ในที่ซึ่งมีการเคลื่อนตัวในย่านความเร็ว ที่มักมีการเปลี่ยนจังหวะเกียร์ไปมา
ระหว่างเกียร์ 3 กับเกียร์ 4 อยู่บ่อยครั้ง (อาจจะเป็นช่วงความเร็ว 70-90 km/h) เร่งๆผ่อนๆ
ในกรณีนี้แบบนี้ก็อาจจะ O/D OFF ไว้ก็ได้เพื่อลดการสึกหรอจากการเปลี่ยนไปมาระหว่างเกียร์ 3 กับ 4
บ่อยเกินไป และช่วยลดการใช้เบรคลงได้ เนื่องจากเมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่งเกียร์ 3
จะมีแรงหน่วงมากกว่าเวลาที่ถอนคันเร่ง

ในความเป็นจริงแล้วตามปกติเราควรจะเปิดใช้งาน O/D ไว้เสมอ (ไม่มีไฟโชว์ที่หน้าปัด และปุ่มO/D ยุบไม่โผล่ออกมา)
เพื่อให้มีเกียร์ใช้งานครบทุกเกียร์แล้วกล่องสมองกลจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกใช้เกียร์ที่เหมาะสมเอง
ซึ่งมักจะครอบคลุมการใช้งานในทุกสถานการณ์อยู่แล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เราเข้าใจการทำงานของปุ่ม O/D เป็นอย่างดี
และเห็นสมควรที่จะปิดการทำงานเอาไว้


เกร็ดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกียร์อัตโนมัติ

เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับการเลือกใช้ตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสม
ในรถบางรุ่นที่คันเกียร์เป็นแบบขั้นบันได ควรอ่านคู่มือการใช้งานโดยละเอียด
เคยมีครั้งหนึ่งผมไปติดตั้ง ชุดแสดงตำแหน่งเกียร์ (GPM) ให้กับลูกค้า รถคันนั้นคันเกียร์เป็นแบบขั้นบันได
และไม่มีไฟบอกตำแหน่งคันเกียร์ที่หน้าปัด เมื่อผมติดตั้งอุปกรณ์เสร็จ ก็นำรถออกไปทดลองวิ่งพร้อมกับลูกค้า

พบว่าชุดแสดงตำแหน่งเกียร์แสดงตำแหน่งไล่ไปตั้งแต่ 1 ไป 2 และ 3 โดย ค้างอยู่ที่เลข 3
ไม่ยอมขึ้นไปถึงเกียร์ 4 ทั้งๆที่ความเร็วก็เกือบ 100 km/h แล้ว และเจ้าของรถก็แตะคันเร่งเบาๆไม่ได้ลึก
แน่นอนครับมันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ผมมองไปที่หัวเกียร์พบว่ามันคาอยู่ที่ 3 ไม่ใช่ D จึงได้สอบถามกับเจ้าของรถว่า
ปกติพี่เข้าเกียร์ไว้ที่ตำแหน่งนี้ตลอดเลยหรือเปล่าเวลาขับตามปกติ เจ้าของรถก็ตอบกลับมาว่าใช่เนื่องจากเค้าเข้าใจว่า
ตำแหน่งตรงนั้นมันคือตำแหน่ง D เนื่องจากสัญลักษณ์ที่รางคันเกียร์เป็นแบบ "D▫3"
ทุกครั้งที่เลื่อนผ่านตำแหน่งคันเกียร์ต่อจาก N ลงมาข้างล่างแล้วจะขยับต่อมาทางขวานี้ด้วยทุกครั้ง


Image


ซึ่งในความจริงแล้ว ตำแหน่งที่หัวเกียร์คาอยู่นี้ คือตำแหน่ง 3 หรือ D3
รถจะมีเกียร์ให้ใช้ทั้งหมด 3 เกียร์ คือ 1-2-3
คล้ายกับรถเกียร์ออโต้บางคันที่เข้าไว้ที่ตำแหน่ง D แล้วมีปุ่มให้กด O/D OFF ได้

แต่ถ้าเลื่อนหัวเกียร์มาทางซ้ายมือ จะเป็นตำแหน่ง D ซึ่งมีจะมีเกียร์ให้ใช้งานครบทั้ง 4 เกียร์ คือ 1-2-3-4
ซึ่งเวลาที่เราขับเร็วๆ ถ้าใช้เกียร์ 4 จะประหยัดน้ำมันและสึกหรอน้อยกว่าการใช้เกียร์ 3 เนื่องจากใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่า

เมื่อเจ้าของรถได้ลองขยับคันเกียร์มาทางซ้ายมือเป็นตำแหน่ง D แล้วลองขับดูกันใหม่
คราวนี้ชุดแสดงตำแหน่งเกียร์ แสดงตัวเลขไล่ตั้งแต่ 1-2-3-4 ได้ครบตามปกติ

Image

ในอีกกรณีที่เจอกันบ่อยคือ ขับรถขึ้นเขาแล้วพยายามเลื่อนตำแหน่งคันเกียร์ลงมาอยู่ที่เกียร์ต่ำเอง
ในรถบางรุ่นหากอ่านคู่มือไม่ละเอียดก็จะใช้งานได้ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น
ในรถ Civic Dimension ตำแหน่งคันเกียร์ที่มีให้เลือกใช้คือ P - R - N - D - D3 - 2
มีบางท่านอยากจะช่วยให้รถมีแรงขึ้นเขาก็เลยเลื่อนตำแหน่งคันเกียร์มาอยู่ที่ตำแหน่ง 2 โดยที่
ความเป็นจริงแล้ว ตำแหน่ง 2 ในรถรุ่นนี้ “จะล็อคไว้ที่เกียร์ 2 เพียงเกียร์เดียว”
สำหรับไว้ออกตัวในทางลื่น ลดแรงบิดไม่ให้ล้อฟรี ไม่ใช่ว่ามีเกียร์ให้เลือกใช้ 2 เกียร์ คือ 1 และ 2 แบบรถบางรุ่น
ดังนั้นเมื่อเราขับขึ้นเขาที่ชันมากๆ ก็กลายเป็นว่ารถไม่มีแรงเพราะว่าต้องคาอยู่ที่เกียร์ 2
ไม่สามารถเปลี่ยนลงมาใช้เกียร์ 1 ซึ่งมีแรงขึ้นทางชันมากกว่าได้

Image

การใช้งานที่ถูกต้องในรถรุ่นนี้ถ้าต้องการขึ้นเขาชันๆ เกียร์ที่เลือกใช้ควรเป็นที่ตำแหน่ง D หรือ D3
จะเหมาะสมกว่า เพราะกล่องสมองกลจะสามารถไล่เปลี่ยนเกียร์ลงมาจนถึงเกียร์ 1 ได้


สงวนลิขสิทธิ์ Po-40
Post Reply