นอกจากช่วยให้เราทราบถึงค่าใช้จ่ายต่อหน่วยที่เกิดขึ้นแล้ว
ยังช่วยบอกให้เราทราบว่า มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นกับรถเราบ้างหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอัตราสิ้นเปลืองสูงขึ้นกว่าเดิมอาจจะมีความผิดปกติอะไรบางอย่าง
เกี่ยวกับเครื่องยนต์ หรืออาจจะมีแรงดันลมยางที่ผิดปกติไป

มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองที่แถมมาให้จากโรงงาน
ในรถรุ่นใหม่ ซึ่งบางครั้งมีความคลาดเคลื่อนอยู่ไม่น้อย เช่น อาจจะแสดงอัตราสิ้นเปลืองที่ดูแล้วต่ำกว่า
ความเป็นจริง ทำให้ผู้ใช้รถเข้าใจว่ารถรุ่นนั้นๆ ประหยัดเชื้อเพลิง (จะด้วยเหตุผลทางการตลาดหรืออะไรก็ตามแต่

นอกจากนี้ถ้าเจ้าของรถเปลี่ยนใจไปคบกับ GAS ก็จะแสดงผลได้ไม่ตรงกับความเป็นจริง
วิธีการคำนวณอัตราสินเปลืองเชื้อเพลิงที่จะแสดงต่อไปนี้ สามารถใช้ได้ทั่วไป
ไม่ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เชื้อเพลิงประเภทไหน จะเป็น เบนซิน ดีเซล โซฮอล NGV LPG
สามารถใช้การคำนวณนี้ได้ทั้งหมด โดยขั้นตอนมีดังนี้
ขั้นที่ 1 เติมเชื้อเพลิงให้เต็มถัง แล้วกดลบ ระยะทาง
ขั้นที่ 2 ใช้รถตามปกติ ระหว่างนี้อย่าเพิ่งกดรีเซตทริป
ขั้นที่ 3 กลับเข้ามาเติมเชื้อเพลิงให้เต็มถังอีกครั้ง และบันทึกปริมาณเชื้อเพลิงที่เติมกลับมา และจำนวนเงิน
ขั้นที่ 4 บันทึกระยะทางที่วิ่งได้จากหน้าปัด แล้วเข้าสู่การคำนวณ
วิธีคำนวณอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็น Km/L
Km/L = [ระยะทางที่วิ่งได้(km)] / [ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ไป(L)]
ตัวอย่างเช่น รถใช้รถไป 400 Km แล้ววิ่งกลับเข้าปั๊มเติมน้ำมันกลับมาเต็มถัง
พบว่าเติมน้ำมันกลับเข้ามาจำนวน 32 L
เราจะสามารถคำนวณอัตราสิ้นเปลือง
= 400/32 = 12.5 Km/L
=========================================

ทีนี้หลายท่านคงจะเคยเจอข้อสงสัยในลักณษณะที่ว่า
ใช้เบนซิน 91 แล้วคำนวณได้อัตราสิ้นเปลืองเป็น Km/L มากกว่าใช้ E20
แสดงว่าใช้เบนซิน 91 แล้ว ประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากกว่า E20 ใช่หรือไม่ :huh:
แต่ว่าราคาต่อลิตรของ E20 นั้นถูกกว่าเบนซิน 91 นะเนี่ย
แล้วแบบนี้สรุปว่าใช้ 91 หรือ E20 จะประหยัดกว่ากันแน่ :emo_13:
จะเห็นได้ว่าการคำนวณหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยเป็น Km/L เหมาะจะเป็นข้อมูล
ในการเปรียบเทียบอัตราสิ้นเปลืองในกรณีที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดเดียวกัน
สำหรับการเปรียบเทียบระหว่างเชื้อเพลิงคนละชนิด เราจะคำนวณหาค่าตัวอื่น ที่เหมาะสมมากกว่า
เพราะว่าจะเปรียบเทียบกันได้ต้องอยู่ในกติกาที่ยุติธรรม
นั่นคือ เราจะคำนวณหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงออกมาเป็น Bht/Km
วิธีค่าใช้จ่ายต่อระยะทางที่วิ่ง Bht/Km
Bht/Km = [มูลค่าเชื้อเพลิงที่ใช้(Bht)] / [ระยะทางที่วิ่งได้(Km)]
= [ราคาเชื้อเพลิงต่อหน่วย(Bht/L)]/[อัตราสิ้นเปลือง (Km/L)]
ตัวอย่างเช่น รถใช้รถไป 400 Km แล้ววิ่งกลับเข้าปั๊มเติมน้ำมันกลับมาเต็มถัง
พบว่าเติมน้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งมีราคาลิตรละ 30 บาท กลับจำนวน 32 ลิตร ซึ่งเป็นเงิน 960 Bht
Bht/Km = [มูลค่าเชื้อเพลิงที่ใช้(Bht)] / [ระยะทางที่วิ่งได้(Km)]
= 960/400 = 2.40 Bht/Km
Km/L = [ระยะทางที่วิ่งได้(km)] / [ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ไป(L)]
= 400/32 = 12.50 Km/L
ในทางกลับกันถ้าเราใช้ E20 ไปเป็นระยะทางที่เท่ากันคือ 400 Km
อาจจะเปลืองขึ้นอีกเล็กน้อยทำให้ ต้องเติมน้ำมัน E20 กลับมา 35 ลิตร
โดยที่มีราคาลิตรละ 24 บาท ซึ่งเป็นเงิน 840 บาท
Bht/Km = [มูลค่าเชื้อเพลิงที่ใช้(Bht)] / [ระยะทางที่วิ่งได้(Km)]
= 840/400 = 2.10 Bht/Km
Km/L = [ระยะทางที่วิ่งได้(km)] / [ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ไป(L)]
= 400/35 = 11.43 Km/L
จะเห็นพบว่า ถ้าคิดอัตราสิ้นเปลืองเป็น Km/L
E20 จะมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 11.43 Km/L ในขณะที่เบนซิน 91
จะมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 12.5 Km/L ซึ่งถ้าดูเผินๆ
คล้ายกับว่าการเลือกใช้เบนซิน 91 จะประหยัดกว่า แต่ถ้าเราพิจารณาโดยละเอียดแล้ว
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อกิโลเมตรที่รถวิ่งของ E20 จะอยู่ที่ 2.10 Bht/Km
แต่ถ้าใช้ 91 จะสูงถึง 2.40 Bht/Km
นั่นคือในกรณีที่สัดส่วนของราคาเชื้อเพลิงทั้งสอง
และสัดส่วนความแตกต่างของปริมาณเชื้อเพลิง เป็นเหมือนกับ
ในตัวอย่างที่คำนวณ การเลือกใช้ E20 จะประหยัดเงินในกระเป๋ากว่า
แต่ถ้าในอนาคตราคาของ E20 ปรับเข้ามาใกล้เคียงกับเบนซิน 91 ก็เป็นไปได้ว่า
การเลือกใช้เบนซิน 91 จะประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากกว่า
ทั้งนี้ต้องคำนวณตามข้อมูลจริงๆ ณ จุดเวลานั้นๆอีกครั้ง
ข้อควรระวังอย่างหนึ่ง ก็คือการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงออกมาเป็น
Bht/Km จะไม่เหมาะสมที่จะนำเปรียบเทียบกันในกรณีที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดเดียวกัน
แต่ว่ามีราคาต่อหน่วยที่แตกต่างกัน เช่น รถสองคัน รถA เติมเบนซิน91 ที่กทม.
ซึ่งมีราคาลิตรละ 30 บาท แต่ รถB เติมเบนซิน 91 เหมือนกันแต่ที่ต่างจังหวัดซึ่ง
มีราคาลิตรละ 31 บาท ในกรณีนี้ควรกลับไปใช้การเปรียบเทียบด้วยค่า Km/L
จะดีกว่าจึงจะทราบว่าคันไหนประหยัดกว่ากัน
ประเด็นน่าสนใจ 1

การเติมเชื้อเพลิงกลับเข้าถังแต่ละครั้ง แม้จะสั่งว่าเติมเต็มถังเหมือนๆกัน
แต่ว่าจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้างเสมอ ดังนั้นถ้าต้องให้การคำนวณอัตราสิ้นเปลืองนี้
มีความคลาดเคลื่อนที่น้อยลง ควรทำเมื่อมีการใช้เชื้อเพลิงไปแล้วในปริมาณที่มากพอสมควร
แล้วจึงค่อยเติมเชื้อเพลิงกลับเพื่อทำการคำนวณ
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีความคลาดเคลื่อนในการเติมน้ำมันเต็มถังแต่ละครั้ง อยู่ที่ 0.5 ลิตร
ถ้าเราใช้งานรถไม่ไกล แล้วเติมน้ำมันกลับเต็มถังเพื่อทำการวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
พบว่าเติมน้ำมันกลับได้ 5 ลิตร ในกรณีนี้จะมีโอกาสที่จะเกิดความคลาดเคลื่อนของค่า Km/L
ที่ได้มากถึง [0.5/5]x100 = 10%
แต่ถ้าเราใช้งานรถไกลมากขึ้น แล้วเติมน้ำมันกลับเต็มถังเพื่อทำการวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
พบว่าเติมน้ำมันกลับได้ 40 ลิตร ในกรณีนี้จะมีโอกาสที่จะเกิดความคลาดเคลื่อนของค่า Km/L
ที่ได้ต่ำลงเหลือ [0.5/40]x100 = 1.25%
ประเด็นน่าสนใจ 2
หลายครั้งที่มีคนเปิดกระทู้ถาม ว่ารถรุ่นเดียวกันมีใครได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้เท่าใดบ้าง
ซึ่งก็จะมีคนมาโพสตอบว่าในเมือง ประมาณเท่านั้นเท่านี้ และนอกเมืองได้เท่านั้นเท่านี้ @ ความเร็วเฉลี่ย xxx-yyy
จะสังเกตได้ว่าตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองในรถรุ่นเดียวกัน สภาพรถใกล้เคียงกัน มักจะมีอัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยที่ความย่านความเร็วเดียวกันในการใช้งานนอกเมือง หรือเดินทางไกล จะไม่แตกต่างกันมากนัก
ในขณะที่ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยในเมือง มันจะแตกต่างกันอย่างมาก หลายท่านจะตกใจว่าทำไมรถของเราถึง
เปลืองกว่าคันอื่นๆมากนัก ในการใช้งานในเมือง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่าง
ของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นแรก เส้นทางที่ใช้ ในเมืองเหมือนกันแต่บางคนอยู่ในรอบในของตัวเมืองซึ่งรถติดตั้งแต่หน้าบ้านยันที่ทำงาน
ในขณะที่บางคนอยู่ในตัวเมืองบริเวณที่รถไม่ติดมากนั้น การที่รถติดมาก/น้อย มีผลโดยตรงกับการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย
เนื่องจาก ถ้ารถไม่ติด ในทุกรอบที่เครื่องยนต์หมุน ล้อก็หมุนไปด้วย แต่ถ้ารถติดมากๆขนาดจอดนิ่งๆมากกว่าวิ่ง รถจะต้องจอดติดเครื่องอยู่เฉยๆเผาผลาญเชื้อเพลิงไปเรื่อยๆ โดยที่ล้อไม่ได้หมุนเพื่อให้เกิดระยะทาง
ดังนั้นเมื่อนำไปเข้าสูตรคำนวณอัตราสิ้นเปลือง รถคันที่เจอรถติดมากๆ จะใช้ปริมาณเชื้อเพลิงไปมากกว่า รถคันที่วิ่งในเส้นทางที่รถติดน้อยกว่า เมื่อวิ่งไปได้ระยะทางเท่ากัน ส่งผลให้คำนวณ Km/L ออกมาต่ำกว่า อย่างไม่น่าสงสัย
ประเด็นถัดมา ก็คือ พฤติกรรมการขับขี่ของเจ้าของรถ บางคนขับรถด้วยความนิ่มนวลแต่บางคนขับแบบเร่งมากๆแล้วค่อยไปเบรค บางชอบขับในเส้นทางที่สั้นที่สุดแม้ว่ารถจะติดแต่บางคนชอบเลี่ยงไปขับในเส้นทางที่ถนนโล่งกว่าแม้จะต้องขับอ้อมก็ตามซึ่งมีผลต่อการอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะขับอยู่ในเมืองเหมือนๆกัน
อีกประเด็นหนึ่งที่บางคนก็ยังสงสัยอีกว่า ทำไมรถรุ่นเดียวกัน วิ่งในเมืองในเส้นทางคล้ายๆกันทำไมบางคันถึงประหยัดกว่าเราได้ แน่นอนเราลืมไปอย่างหนึงที่มีผลอย่างมาก คือช่วงเวลาที่ใช้รถ ในเส้นทางเดียวกันแต่คนละช่วงเวลา รถติดไม่เท่ากันบางเส้นทาง เช่น บริเวณโรงเรียนตอนเช้าๆจะรถติดมากๆ พอสายหน่อยรถจะโล่งอย่างเทียบกันไม่ติด
เรื่องของภาระที่แตกต่างของรถแต่ละคันก็มีผล บางคันจะใช้รถคนเดียวเป็นส่วนใหญ่แต่บางคันก็จะ
มีสมาชิกนั่งไปในรถหลายคน หรือถ้าบางคันไปเปลี่ยนล้อขนาดใหญ่น้ำหนักมากทำให้ล้อหมุนยาก กินแรง
ก็ทำให้เปลืองน้ำมันได้เช่นกัน และในบางคันที่เปลี่ยนล้อหรือยางใหม่ซึ่งมีเส้นรอบวงต่างไปจากของเดิมจากโรงงาน
ทำให้การคำนวณคลาดเคลื่อนไปจากรถคันอื่นๆในรุ่นเดียวกัน เพราะเรานำตัวเลขระยะทางที่วิ่งได้จากหน้าปัดรถ
ซึ่งค่าระยะทางที่วิ่งได้จากหน้าปัดนี้ จะคลาดเคลื่อนไปถ้าเส้นรอบวงของล้อใหม่ต่างจากเส้นรอบวงของล้อจากโรงงานมาก
เช่น ถ้าเส้นรอบวงมากกว่าของเดิมจากโรงงาน ระยะทางที่วิ่งได้บนหน้าปัด จะแสดงค่าน้อยกว่าความเป็นจริง
คือ ถ้าระยะทางจริง 1 Km รถคันที่ใส่ล้อใหญ่กว่ามาตรฐานจะแสดงตัวเลขระยะทางบนหน้าปัดที่วิ่งได้ น้อยกว่า 1 Km
หรือถ้า ระยะทางบนหน้าปัดแสดง 1 km รถคันที่ล้อใหญ่กว่ามาตรฐาน จะวิ่งได้ระยะทางจริงๆมากกว่า 1 Km
ซึ่งเมื่อค่าที่นำมาใช้ในการคำนวณนั้นผิดพลาดไปดังที่กล่าวมาแล้ว ค่า Km/L ที่ได้จึงต้องแตกต่างไปจากรถคันอื่นๆอย่างไม่ต้องสงสัย
เรื่องของแรงดันลมยางที่แตกต่างกันก็ล้วนแล้วแต่มีผลทำให้ล้อหมุนยากและเส้นรอบวงของล้อเปลี่ยนไป
ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองที่คำนวณได้แตกต่างกัน
และประเด็นสุดท้ายก็คือ บางคันไม่ได้แจ้งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ถูกต้อง
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่ได้ใช้วิธีการวัดตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ถูกต้อง
หรือจงใจกล่าวเกินจริง(โม้)
ประเด็นน่าสนใจ 3

ถ้าเราไปเปลี่ยนล้อหรือยางที่มีขนาดเส้นรอบวงต่างไปจากเดิม
แล้วอยากใช้วิธีคำนวณอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยอาศัยระยะทางจากมาตรวัดเดิมจะต้องทำอย่างไร :huh:
อย่างที่ได้พูดไว้ในข้างต้นว่า ขนาดเส้นรอบวงที่เพี้ยนไปจากของโรงงาน จะทำให้มาตรวัดแสดงระยะทางที่วิ่งได้คลาดเคลื่อนไป วิธีที่จะคำนวณอัตราสิ้นเปลืองของเราถูกต้องก็คือ ต้องปรับแก้ตัวเลขระยะทางที่วิ่งได้จากหน้าปัดรถที่เพี้ยนอยู่ให้ถูกต้องเสียก่อน ดังนี้
ระยะทางที่วิ่งได้จริง = ระยะทางที่วิ่งได้จากหน้าปัดรถ x [เส้นรอบวงในปัจจุบัน / เส้นรอบวงมาตรฐานจากโรงงาน]
นำระยะทางที่ปรับแก้แล้ว ไปแทนในสูตรคำนวณอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
Km/L = [ระยะทางที่วิ่งได้จากหน้าปัดรถ / ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้] x [เส้นรอบวงในปัจจุบัน / เส้นรอบวงมาตรฐานจากโรงงาน]
สงวนลิขสิทธิ์ Po-40